ภาษี e-Payment

สืบเนื่องจากที่สรรพากร ได้ออก พรบ. เพื่อจะจัดเก็บภาษีธุรกรรมลักษณะเฉพาะ หรือภาษี e-Payment นั้น ล่าสุดได้มีประกาศออกมาในราชกิจจานุเบกษา ว่าจะให้มีผลในวันที่ 21 มีนาคม 2562 (วันพรุ่งนี้) ซึ่งในโอกาสนี้ Plant จะขอมาย่อยให้ทุกท่านฟังก่อน ว่าภาษีนี้มีเงื่อนไขการจัดเก็บยังไงบ้าง

เงื่อนไขการรายงานและจัดเก็บภาษี

ตามหลักเกณฑ์ของ พรบ. นี้ จะบังคับในธนาคาร หรือผู้ให้บริการระบบการชำระเงินออนไลน์ ต้องรายงานข้อมูลบัญชีผู้ฝาก/รับโอน ให้แก่สรรพากร เมื่อมีเหตุการณ์ดังต่อไปนี้เกิดขึ้น คือ

1. ฝาก/รับโอน ปีละ 3,000 ครั้ง (นับยอดรวมทุกบัญชีที่เรามี)
2. ฝาก/รับโอนตั้งแต่ 2 ลบ. และมีจำนวนครั้งตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไปต่อปี

“ถ้าคุณมีธุรกรรมเข้าข่ายแบบนี้ แบงค์จะส่งชื่อ–นามสกุล เลขที่บัญชี จำนวนครั้ง และยอดเงินไปให้สรรพากรทันที“

กระทบใครบ้าง?

ถ้าคุณเป็นคนที่ทำมาค้าขาย รับเงินเข้าบัญชีบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ขายสินค้าออนไลน์ ขายครีม เสื้อผ้า แม้กระทั่งปล่อยเช่าพระเครื่อง และรับเงินผ่านบัญชี คุณก็มีโอกาสสูงมากที่จะถูกรายงานข้อมูลบัญชีไปให้สรรพากร เพือเรียกเก็บภาษีต่อไป

สรุป

1. พ.ร.บ. นี้ไม่ได้ออกมาบังคับคน แต่ออกมาบังคับสถาบันการเงินให้ส่งข้อมูลบัญชีของบุคคลหรือบริษัทที่เข้าเกณฑ์ให้สรรพากร
2. แต่ละธนาคารดูยอดของคุณทุกบัญชีรวมกัน แปลว่าเป็นยอดรายการต่อธนาคาร

ไม่อยากเสียภาษี ทำไงดี?

ถ้าไม่อยากเสียภาษี เราบอกได้ทันทีเลยว่า “ไม่ได้ครับ … และหนียากมากๆ ด้วย” เพราะถึงคุณจะรับเป็นเงินสดกับมือ เมื่อคุณต้องเก็บ ต้องโอน คุณก็ต้องฝากเข้าบัญชีตัวเองอยู่ดี (ฝากเข้าบัญชีตัวเอง หรือโอนระหว่างบัญชีตัวเองก็นับนะจ๊ะ) เพราะฉะนั้นอย่าหนีให้เสียเวลาเลยครับ แต่หันมาวางแผนภาษีกันดีกว่า

อยากลดภาษี ทำไงดี?

คุณหาเงินได้ 100 บาท คุณไม่จำเป็นต้องเอา 100 บาทไปเสียภาษี เพราะกฎหมายให้สิทธิในการหักค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนในการทำธุรกิจ ซึ่งสรรพากรแบ่งไว้ในตามเงินได้ประเภทต่างๆ รวมไปถึงค่าลดหย่อนภาษี จากการทำตามเงื่อนไขสรรพากร (รายการที่สามารถนำมาลดหย่อนได้ http://www.rd.go.th/publish/557.0.html) หักค่าพวกนี้แล้ว ค่อยนำไปคำนวณตามฐานภาษีอีกที โดยครั้งต่อไปเราจะมาพูดถึงแนวทางการวางแผนภาษีกลุ่มนี้กันอีกที ฝากติดตามด้วยครับ

#Plant #ภาษีออนไลน์ #epayment